onsdag 3 oktober 2012

"ข้อมูลความจริง " ....ทำให้ตาสว่าง.... เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์และความจริงเพื่อให้สถาบันคงอยู่


โดยNongkatoo

เรามาดูความเข้าใจผิดๆของคนไทยเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์และความจริงเพื่อให้สถาบันคงอยู่
ความเข้าใจผิดสถาบันมีบุญคุณกับคนไทย เพราะทำให้ไทยเป็นเอกราช
ไม่ตกเป็นทาสเป็นเมืองขึ้นพม่า
ความจริงผู้ที่กอบกู้เอกราชของชาติไทยให้ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าคือพระเจ้าตากสินมหาร​าช ต่อมาถูกพระยาจักรีทำรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อ6เมษายน 2325 แล้วสถาปนาราชวงศ์จักรีมาจนถึงทุกวันนี้ และไทยเกือบเสียเอกราชอีกครั้งในสงครามโลกครั้งที่2 แต่นายปรีดี พนมยงค์ นำประเทศไทยรอดพ้นสภาพการตกเป็นเมืองขึ้นหรือประเทศที่แพ้สงคราม โดยจัดตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้น ต่อมานายปรีดีถูกกลุ่มนิยมเจ้าใส่ความว่าเกี่ยวข้องกับร.8สวรรคต ต้องลี้ภัยไปถึงแก่อสัญกรรมในต่างประเทศ
ความเข้าใจผิดสถาบันมีบุญคุณต่อคนไทยอย่างใหญ่หลวง เพราะในหลวงมีโครงการพระราชดำริมากมายช่วยคนไทยให้พ้นความลำบากยากจน
ความจริงโครงการพระราชดำริไม่ได้ใช้เงินส่วนพระองค์ของในหลวงหรือสถาบัน แต่เป็นหน่วยงานราชการคือ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ-กปร. ใช้เงินงบประมาณจากภาษีของประชาชนในการดำเนินงาน
(ดูที่http://www.bb.go.th/budget/bu/blue51/25004.pdf)

กปร.มีหน้าที่สำรวจ ศึกษา วิเคราะห์และจัดทำแผนงานเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ รวมทั้งพิจารณาและเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ความเข้าใจผิดในหลวงและสถาบันเป็นผู้นำแบบอย่างความสมถะพอเพียง
คนไทยต้องเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท
ความจริงสถาบันกษัตริย์ของไทยถูกนิตยสารForbesจัดอันดับให้เป็นสถาบันที่รวยที่สุดในโลก เหนือกว่าสุลต่านบรูไนซึ่งมั่งคั่งอันดับ2 เหนือกว่ากษัตริย์ของอาหรับที่มีบ่อน้ำมัน

(ดูที่ http://www.forbes.com/magazines/global/2.../032.html)

ส่วนbloombergจัดให้ในหลวงเป็นนักลงทุนอันดับ1ในตลาดหุ้นไทย

(ดูที่http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=20602005&sid=aZ0o4kBLphDs&refer=world_indices)

สามารถดูรายพระนามของในหลวงถือหุ้นใหญ่ของบริษัทต่างๆได้เช่น-http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=SAMCO&language=en&country=US-

http://www.set.or.th/set/companyholder.d...ountry=US-

http://www.set.or.th/set/companyholder.d...country=US

ในด้านราชยานพาหนะนั้น ในหลวงและสถาบันไม่ได้มีเฉพาะโตโยต้าโซลูน่าคันเล็กๆ แต่รวมถึงรถยนต์มายบั๊คคันละ300ล้านบาท และเครื่องบินอีกนับสิบลำ ซึ่งใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจัดซื้อและจัดซ่อมบำรุง
(ดูที่นี่ http://th.wikipedia.org/wiki/เครื่องบินพ...้าอยู่หัว)
นอกจากนั้นหากติดตามข่าวพระราชสำนักทางโทรทัศน์ช่วง2ทุ่มจะพบว่ามีบุคคลต่างๆที่เป็น​พ่อค้า เศรษฐี หน่วยงาน คณะบุคคลได้เข้าเฝ้าถวายเงินเพื่อใช้สอยตามพระราชอัธยาศัยเป็นประจำทุกวัน หากเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ จะได้เฝ้าฯทุกวันอย่างนี้หรือไม่ เพราะไม่มีเงินมากมายไปถวาย
ดังนั้นคนไทยควรเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทพระองค์ท่านในด้านความมั่งคั่ง จึงจะถูกต้องตามความเป็นจริง

ความเข้าใจผิดสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นของชาติ
ไม่ใช่ของส่วนพระองค์ และจ่ายภาษี
ความจริง
เวปไซต์ของสำนักงานทรัพบ์สินฯที่ระบุไว้ดังนี้
เดิมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อยู่ในความดูแลรักษาของสำนักงานพระคลังข้างที่ ในสังกัดสำนักพระราชวัง ต่อมา มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการยกเว้นภาษีอากรเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหาก​ษัตริย์ พุทธศักราช 2477 โดยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ได้แบ่งแยกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

*ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีอากร
*ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งจะต้องเสียภาษีอากร

ส่วนว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดินหรือของพระมหากษัตริย์
กฎหมายระบุไว้ว่า

มาตรา 6
รายได้จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในความดูแลรักษาของกระทรวงการคลังตามความในมาต​รา 5 วรรคสองนั้น

เมื่อได้หักรายจ่ายที่จ่ายตามข้อผูกพันอันเกี่ยวแก่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รายจ่ายที่จ่ายเป็นเงินเดือน (รวมทั้งบำเหน็จ บำนาญ ถ้ามี) เงินค่าใช้สอยเงินการจร และเงินลงทุนอันเกี่ยวแก่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และรายจ่ายที่จ่ายเป็นเงินพระราชกุศลออกแล้ว ให้นำทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงใช้จ่ายในฐานที่ทรงเป็นประมุข

แต่ต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติมฉบับปี2491ว่า

มาตรา 6 รายได้จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่กล่าวในมาตรา 5 วรรคสองนั้นจะจ่ายได้ก็แต่เฉพาะในประเภทรายจ่ายที่ต้องจ่ายตามข้อผูกพัน รายจ่ายที่จ่ายเป็นเงินเดือนบำเหน็จ บำนาญ เงินรางวัล เงินค่าใช้สอย เงินการจร เงินลงทุน และรายจ่ายในการพระราชกุศลเหล่านี้ เฉพาะที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว เท่านั้น

รายได้ซึ่งได้หักรายจ่ายตามความในวรรคก่อนแล้ว จะจำหน่ายใช้สอยได้ก็แต่โดยพระมหากษัตริย์ ตามพระราชอัธยาศัย http://www.crownproperty.or.th/history.php

ดังนั้นความเข้าใจว่าทรัพย์สินเป็นของแผ่นดินจึงตกไปตามนัยกฎหมายนี้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับพระราชอัธยาศัย(แปลว่าตามที่ในหลวงจะเห็นสมควร ซึ่งก็คือเป็นสมบัติของท่านนั่นเอง)

ความเข้าใจผิดคนไทยต้องสำนึกในบุญคุณของในหลวงและสถาบัน
เพราะท่านทำเพื่อคนไทยอย่างไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก

ความจริงประเทศไทยก็เช่นเดียวกันกับประเทศที่มีกษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขทั่วไป คือคนไทยเห็นความสำคัญของสถาบัน จึงมีการจัดสรรงบประมาณจากภาษีของประชาชนถวายแด่สถาบันเพื่อให้ได้รับความสะดวก และทรงงานเพื่อคนไทยผู้จ่ายภาษีปีละไม่น้อยกว่า2พันล้านบาท

เฉพาะที่จัดสรรให้แก่สำนักพระราชวังนั้นปีงบประมาณล่าสุด2,364.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.3% และยังไม่นับรวมกับที่อยู่ในหน่วยงานกระทรวง ทบวง กรม กองทัพต่างๆอีก ปีละไม่ต่ำกว่า6,000ล้านบาท
(ดูที่ http://www.bb.go.th/FILEROOM/CABBBIWEBFO...00038.PDF)

ทั้งนี้เงินงบประมาณที่จัดสรรให้สำนักพระราชวังสูงขึ้นทุกปี ดังนี้

ปี 2502--------32,836,049 บาท
ปี 2522-------126,185,900 บาท
ปี 2523-------141,151,100 บาท
ปี 2524-------165,683,100 บาท
ปี 2525-------184,922,000 บาท
ปี 2526-------235,286,000 บาท
ปี 2527-------312,911,700 บาท
ปี 2528-------281,435,000 บาท
ปี 2529-------340,980,000 บาท
ปี 2530-------387,734,790 บาท
ปี 2531-------358,685,300 บาท
ปี 2533-------450,372,100 บาท

ปี 2534-------517,515,900 บาท
ปี 2535-------623,176,400 บาท
ปี 2536-------829,365,200 บาท
ปี 2537-------815,711,600 บาท
ปี 2538-------933,229,700 บาท
ปี 2539-------907,461,000 บาท
ปี 2540-------944,400,000 บาท
ปี 2541-------987,516,500 บาท
ปี 2542-------961,575,400 บาท
ปี 2543------1,028,315,500 บาท
ปี 2544------1,058,540,000 บาท
ปี 2545------1,136,536,600 บาท
ปี 2546------1,209,861,700 บาท
ปี 2547------1,275,948,400 บาท

ปี 2548------1,501,472,900 บาท
ปี 2549------1,676,888,800 บาท
ปี 2550------1,945,122,400 บาท
ปี 2551------2,086,310,000 บาท
ปี 2552------2,364.6 ล้านบาท

ความเข้าใจผิดสถาบันอยู่เหนือการเมือง จึงไม่ควรวิจารณ์ให้ขี้กลากกินหัว
ต้องวิจารณ์พวกนักการเมืองโกงกินจึงจะถูก

ความเป็นจริงในหลวงองค์ปัจจุบันอยู่ในราชบัลลังก์มา 60 กว่าปีแล้ว ผ่านนายกรัฐมนตรี ผ่านบ้านเมืองมาหลายยุคหลายสมัย แม้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่พ.ศ.2475เป็นต้นมา แต่ดูเหมือนในทางปฏิบัติแล้ว ไทยยังเสมือนเป็นระบอบราชาธิปไตยอยู่ ดูได้จากการที่ทรงมีพระราชอำนาจลงนามแต่งตั้งทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ผู้บริหารระดับสูงในกองทัพ และหน่วยงานต่างๆ การจัดทำโครงการพระราชดำริต่างๆ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อของรัฐต่างๆ บางครั้งมีหลักฐานว่าอาจเข้ามาแทรกแซงการเมือง เช่น กรณีรัฐประหารปี2500ของจอมพลสฤษดิ์,การสนับสนุนให้จอมพลถนอมกลับประเทศไทย และเกิดกรณี6ตุลาคม2519 หรือกรณีพันธมิตรล่าสุดที่พระราชวงศ์ชั้นสูงไปงานศพของพันธมิตรเมื่อ13ตุลาคม2551 ในขณะเดียวกันเมื่อมีอำนาจในทางต่างๆ(โดยฉากหน้ามีประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งสลับ แล้วก็ยึดอำนาจรัฐประหาร โดยกองทัพมักอ้างอิงว่าเพื่อสถาบันอยู่เนืองๆ) แต่เนื่องจากมีกฎหมายอาญาควบคุมไม่ให้เกิดการวิจารณ์ใดๆ จึงทำได้แต่เชิดชูด้านเดียวเท่านั้น


ความเข้าใจผิดคนที่ไม่รักเทิดทูนสถาบันไม่สมควรอยู่เป็นคนไทย
ต้องไล่ไปอยู่ประเทศอื่นให้หมด

ความจริงคนไทยรักและเทิดทูนสถาบัน ไม่มีใครคิดล้มล้าง หรือดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย แต่เพราะรักเทิดทูนอยากให้สถาบันกษัตริย์มั่งคงวัฒนาสถาวรคู่กับประเทศไทยไปตลอดกาล ขณะเดียวกันคนไทยก็ต้องการให้ประเทศพัฒนาไปทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศด้วย ซึ่งก็มีความจำเป็นอยู่มากที่สถาบันควรปรับปรุงให้สอดคล้องกับกาลสมัย เพราะหากยังเป็นแบบที่เป็นมา มีจุดอ่อนอยู่หลายข้อ แต่ไม่ปรับปรุง แต่ให้เชิดชูสอพลออย่างเดียว ห้ามวิจารณ์ ในที่สุดก็จะทำให้สถาบันเป็นสิ่งที่พ้นสมัยไปในที่สุด
ดังนั้นหากคนไทยรักเทิดทูนสถาบันในทางที่ถูกที่ควรก็สมควรต้องรักด้วยเหตุผลด้วย ไม่ใช่รักเพราะถูกปลูกฝังด้วยวิธีโฆษณาชวนเชื่อ เพราะจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของพระราชบัลลังก์เสียเองในอนาคต

ที่มา : เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar