Submitted on Tue, 2020-09-08 14:09
“อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น” 999997 เห็นแล้วไง ความผิดปกติใหม่ รัฐมนตรีคลังทำงานได้ 21 วันลาออก แม้บอกว่าป่วย แต่ถ้าไม่โดนขัดแข้งขัดขา หรือเห็นท่ารับมือไม่ไหว คนระดับ MD กสิกรไทย จะเครียดขึ้นสมองขนาดนี้ไหม
ประเทศไทยวันนี้เหมือนอยู่ในโลกเหนือจริงสามมิติ โลกที่หนึ่งประชาธิปไตยออนไลน์ ติดแฮชแท็กวิพากษ์วิจารณ์สนั่นหวั่นไหวไร้ข้อจำกัด ไม่เคยคาดคิดจะได้เห็น โลกที่สองดูลุงพลในยูทูบ จากเหยื่อสื่อไล่งับกลายเป็นเน็ต ไอดอล โลกที่สาม รัฐบาลไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าเศรษฐกิจดิ่งเหว หรือม็อบฮือไล่
เก้าอี้รัฐมนตรีว่างก็ยังแย่งชิ้นปลามัน เศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงานมหาศาลยังจะซื้อเรือดำน้ำ พอดันทุรังไม่ได้ ต้องถอนงบ ก็อ้างบุญคุณ อ้างว่ารับฟังเสียงประชาชน
นักเรียนนักศึกษาเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา หยุดคุกคาม พรรคร่วมรัฐบาลก็ยื่นญัตติแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซื้อเวลา กลบกระแส แล้วหวนมาไล่จับ ตั้งข้อหารุนแรง 116 เป็นภัยความมั่นคง ทั้งที่ม็อบปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญยังชี้ว่าชุมนุมโดยสงบ
ล่าสุด ศาลถอนประกัน อานนท์ นำภา,ไมค์ ภาณุพงศ์ ฐานผิดเงื่อนไข ซึ่งก็เกิดคำถามว่า เมื่อการชุมนุมปราศรัยเป็นสิทธิพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ตรงไหนเป็นความผิด “ภัยความมั่นคง” ที่ตำรวจขอให้ศาลห้าม เพราะถ้าไม่แยกให้ชัด ก็จำกัดการใช้สิทธิพื้นฐาน
ที่แน่ๆ ตำรวจและรัฐบาลไม่สามารถอ้างว่านี่เป็นชัยชนะ อ้างความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ใช้การตั้งข้อหาเกินกว่าเหตุ มาไล่จับม็อบมากขึ้น ในเมื่อกฎหมายใช้โดยตำรวจที่อยู่ใต้รัฐบาล ซึ่งมีพฤติกรรมคุกคามแทบทุกจังหวัด
ม็อบจะกลัวบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าจะโกรธมากขึ้น ไม่มีทางหยุดยั้งได้ เพราะหนึ่ง นี่เป็นม็อบที่ไม่มีแกนนำ ไม่มีใครขึ้นต่อใคร จับใครไปก็ยังม็อบได้ สอง ความคิดคนรุ่นใหม่ ปฏิเสธระบอบอำนาจปัจจุบันไปไกล ถึงไหน ต่อไหนแล้ว มีหรือจะยอมจำนน
กฎหมายที่ใช้เป็นเครื่องมือรัฐประหาร ยุบพรรค ตัดสิทธิ เลือกปฏิบัติ มา 14 ปี ในสายตาคนต่อต้านอำนาจ วันนี้ไม่ต่างกับเศษกระดาษ
น่าสมเพชที่ผู้มีอำนาจคิดว่า การที่พรรคร่วมรัฐบาลยื่นญัตติแก้รัฐธรรมนูญ ตั้ง ส.ส.ร.มายกร่างใหม่ทั้งฉบับ โดยยังคงอำนาจ 250 ส.ว. ทั้งการโหวตเลือกนายกฯ และโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญ แถมยังลากยาวไปถึงกลางปี 2565 กว่าจะได้รัฐธรรมนูญใหม่ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะกลบกระแสเรียกร้อง “แผ่นดินไหว” ของนักเรียนนักศึกษา
น่าสมเพชที่ผู้มีอำนาจคิดว่า การจัดกิจกรรม “ไทยภักดี” หลายคันรถบัส หรือการออกผัง จอร์จ โซรอส และกรรมการ Netflix อยู่เบื้องหลังม็อบปลดแอก หรือการทำโพล อ้างว่า #หยุดคุกคามประชาชน 8 ล้านคนมาจากนอกประเทศ (หลอกคน รุ่นเก่าที่ไม่เข้าใจโลกไซเบอร์ เด็กยุคนี้ใช้ VPN เป็นตั้งแต่ประถมต้น) โหมประโคม “ฝรั่งหัวแดง” บ่อนทำลายประเทศไทยเพราะดันไปคบจีน (คอมมิวนิสต์) จะสามารถทำลายความชอบธรรม ทำลายพลังคนรุ่นใหม่ ที่ออกมาแทบทุกมหาวิทยาลัย แทบทุกโรงเรียน แม้ถูกปิดกั้น
หรือเอาเข้าจริง รัฐบาลก็รู้ว่าหยุดม็อบไม่ได้ กลบกระแสไม่ได้ ทำลายไม่ได้ แต่ทำไงได้ ไม่มีทางอื่น ต้องใช้อำนาจปราบปราม ถูลู่ถูกัง ลากไปอย่างนี้
วิกฤตครั้งนี้จะไปจบตรงไหน เพื่อนในเฟสโพสต์โดนใจ “ถ้าสังคมไทยมันตกเหวลึกเกือบไม่เห็นก้นขนาดนี้ ใครที่ยังคิดว่าจะมี “ซอฟต์ แลนดิ้ง” อยู่ได้อีกนี่ มารับรางวัลโลกสวยแห่งปีไปได้เลย”
ประเทศนี้อยู่ในขาลงมา 14 ปี เศรษฐกิจตกต่ำ เสียความสามารถในการแข่งขัน กินบุญเก่า ยิ่งนานยิ่งเหลื่อมล้ำ “การเมืองคนดีย์” อ้างศีลธรรมทำลายประชาธิปไตย ใช้อำนาจ กดหัว แต่ไม่สามารถคง “ตัวแบบ“ เหมือนอนุรักษนิยมยุคเก่า เห็นแต่คนมีอำนาจแล้วมัวเมา ไม่สามารถสร้างความเชื่อถือศรัทธา ไม่ว่ารัฐราชการ องค์กรอิสระ หรือกระบวนการยุติธรรม เมื่อยอดภูเขาน้ำแข็งมันโผล่มาไล่ๆ กัน ก็ถึงจุดอับ
หลังม็อบปลดแอกชุมนุมใหญ่ นักเรียนชู 3 นิ้ว ส.ว. รายหนึ่งอุทานว่า ถ้าแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ ก็จะเกิดรัฐประหารหรือไม่ก็ปฏิวัติประชาชน ซึ่งทั้งสองทางนำไปสู่สงครามกลางเมือง
เห็นจะจริง แต่ขอเติมว่า แก้รัฐธรรมนูญแบบพรรคร่วมรัฐบาลไม่ช่วยอะไร ยิ่งจะเป็นชนวนให้ไม่พอใจ และยิ่งล็อกประเทศไว้ แก้รัฐธรรมนูญเกือบสองปี ให้ประยุทธ์อยู่ยาว มีปัญหาเกิดวิกฤตก็ไม่ยุบสภาไม่ลาออกอ้างว่ารอรัฐธรรมนูญใหม่ จะยิ่งลุกฮือไปกันใหญ่
ส่วนทางออก 2 ทาง ก็ยิ่งเลวร้าย ปฏิวัติประชาชน เป็นไปไม่ได้ มองไม่เห็น รัฐประหาร ก็แก้อะไรไม่ได้ ยิ่งทำให้หายนะ แล้วจะเป็นอย่างไร? มองภาพไม่ออก
รู้แต่ว่าถ้าไม่รักษาสติ ประคับประคอง ยิ่งใช้อำนาจ จุดจบยิ่งมาเร็วและร้ายแรง
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/newspaper-column/news_4846440
#ตามหาลูกประยุทธ์ ลูกแฝดประยุทธ์ก็เลยส่งทนายมาแจ้งความ เอาผิดคนเผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาท
สังคมฟังแล้วอาจเห็นใจ ลูกประยุทธ์ไม่เกี่ยวการเมือง ไม่ยุ่งเรื่องของพ่อ ไปคุกคามเธอทำไม
แต่เรื่องนี้มีเส้นแบ่ง #ตามหาลูกประยุทธ์ ในฐานะลูกบุคคลสาธารณะ ผู้นำประเทศที่มีอำนาจให้ประโยชน์ให้โทษ ประชาชนต้องตรวจสอบได้ การถามหาว่าลูกสาวอยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตอย่างไร ร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ใช้ประโยชน์จากอำนาจพ่อหรือเปล่า ฯลฯ จึงไม่ใช่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ตราบใดที่ไม่ถามบ้านเลขที่แล้วเอาอะไรไปปาถึงบ้าน ความเป็นลูกนายกฯ ลูกรัฐมนตรี ก็ต้องถูกตรวจสอบมากกว่าลูกคนธรรมดาไม่มีอำนาจ
มองมุมหนึ่งก็น่าเห็นใจ ลูกสาวประยุทธ์อาจอยากใช้ชีวิตสงบ สันโดษ สมถะ อยู่กับเงินที่พ่อยกให้ 198 ล้าน แต่ที่ทำให้คนตั้งคำถาม คือลูกสาวประยุทธ์เงียบผิดปกติ ราวกับหายไปจากโลก 6 ปี ไม่มีข่าวคราว มีแต่พ่อบอกว่าทำธุรกิจออกแบบเสื้อจักรยาน
คือด้านหนึ่งก็ดี ไม่มาจุ้นจ้าน ไม่อวดเบ่ง ใช้อภิสิทธิ์ ทำกร่าง แต่อีกด้านก็เงียบหายกระทั่งคนสงสัยไปทำอะไรอยู่ที่ไหน จะให้ไว้วางใจว่ารักสงบไม่ยุ่งไม่เกี่ยว ถ้าดูนิสัยแม่ก็น่าเชื่อ แต่ลูกน้องชายก็เคยเข้าเป็นทหาร อีกคนเปิดบริษัทในค่ายทหาร
การที่ประชาชนตั้งคำถาม ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในหรือต่างประเทศ ช่วยพ่อปกปิดทรัพย์สินหรือไม่ จึงไม่ใช่ความผิด ไม่ใช่การคุกคาม เป็นสิทธิที่จะตรวจสอบติดตามในระบอบประชาธิปไตย ตราบใดที่ไม่ไปข่มขู่ทำร้าย หรือใช้ข้อมูลเท็จ เช่นที่เธอชี้แจงว่าไม่เคยมีคฤหาสน์ในอังกฤษ
ขณะเดียวกัน หากไล่เรียงที่มา โลกทวิตเตอร์ผุด #ตามหาลูกประยุทธ์ หลังเจ้าหน้าที่เป็นโขยงแห่ไปตามหาเด็กอนุบาลชู 3 นิ้ว
ก็คือปฏิกิริยาสะท้อนความไม่พอใจ ต่อการใช้อำนาจรัฐคุกคาม ซึ่งไม่ใช่ครั้งเดียว เด็กนักเรียนนักศึกษาจำนวนมากที่ไปชุมนุม ถูกตำรวจบุกถึงบ้าน ถึงโรงเรียน เตือนครู ข่มขู่พ่อแม่
การตอบโต้อย่างนี้เป็นนิสัยอันธพาล? ฝ่ายประชาธิปไตยควรมีขันติธรรม มโนธรรม อดทนอดกลั้น ถูกรังแก ถูกกระทำ ถูกอุ้มหาย ก็ต้องรู้จักแยกแยะ อย่าล้ำเส้น อย่าไปยุ่งกับครอบครัวผู้นำเผด็จการ ปล่อยให้เมียประยุทธ์ลูกประยุทธ์มีชีวิตอย่างสุขสงบ ครอบครัวอบอุ่น เลี้ยงลูกอย่างเป็นประชาธิปไตย เถียงพ่อได้ ฯลฯ
แต่อย่างที่ตีเส้นแบ่ง ถ้าไม่ได้ข่มขู่ ไม่ได้ให้ข้อมูลป้ายสี การ “กดดัน” ให้ลูกประยุทธ์ต้องชี้แจง ต้องให้ข้อมูล (ซึ่งยังน้อยมาก) ก็เป็นสิทธิในระบอบประชาธิปไตย
6 ปีรัฐประยุทธ์ อุ้มลูกคนอื่น พ่อแม่คนอื่น เข้าคุกมาเยอะแล้ว ด้วยอำนาจเผด็จการ ด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ช่างย้อนแย้งภาพผู้นำครอบครัวอบอุ่น
ม็อบปลดแอกเรียกร้องให้หยุดคุกคาม สิ่งที่ได้รับคือเยาวชนตามจังหวัดต่างๆ ถูกคุกคาม “แกนนำ” ถูกยัดข้อหาบ่อนทำลายความมั่นคง ตามมาตรา 116 ทั้งที่ใช้สิทธิชุมนุมอันเป็นสิทธิพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ แล้วตำรวจก็อาศัยการตั้งข้อหารุนแรงเกินกว่าเหตุ ขอหมายจับโดยไม่ต้องใช้หมายเรียก ดักจับซุ่มจับทนายความ นักศึกษา ราวอาชญากร หรือค้ายาเสพติด
ดักจับทนายอานนท์หลังว่าความ ดักจับบารมี ชัยรัตน์ ที่ร้านข้าวต้ม กระชากแขนสุวรรณา ตาลเหล็ก ซุ่มบุกหอเพนกวิน,รุ้ง ยามวิกาล ล่าสุดก็ดักจับ “อั๋ว” จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ คารถแท็กซี่ ก่อนลูกสาวประยุทธ์ไปแจ้งความปกป้องศักดิ์ศรีเพียงวันเดียว
ซึ่งเธอไลฟ์สดอ่านหนังสือ “สามัญสำนึก” (Common Sense) ของโธมัส เพนน์ ให้ตำรวจฟัง หนังสือที่ทรงพลังปลุกคนอเมริกันประกาศเอกราช พูดถึงการคัดค้านเผด็จการ สถาปนาระบอบการปกครองเพื่อความดีงามของส่วนรวม ไม่ใช่เพื่ออภิสิทธิ์ชน
หลานสาว เตียง ศิริขันธ์ ขุนพลประชาธิปไตยอีสาน ผู้ถูกฆ่ารัดคอทำลายศพในยุคเผด็จการอัศวินผยอง คือหนึ่งในคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ถูกกระทำอย่างอยุติธรรม ท่ามกลางความห่วงกังวลของพ่อแม่ที่รักลูกไม่น้อยกว่าประยุทธ์
แต่รัฐประยุทธ์กลับเบี่ยงเบนว่า คนรุ่นใหม่คุกคามคนเห็นต่าง หาว่าเด็กนักเรียนชูสามนิ้ว bully เพื่อน แบนสปอนเซอร์ก็ว่า bully ทั้งที่เป็นอาวุธของผู้บริโภค ในการควบคุมคุณภาพสื่อ
กรณีลูกประยุทธ์ก็เช่นกัน ถูกรัฐบาลดึงไปใช้ว่าฝ่ายประชาธิปไตย “คุกคาม” แม้แน่ละ มีบางคนล้ำเส้น แต่ในความเป็นจริง ประชาชนไม่มีอำนาจไม่มีอาวุธไม่ได้ถือกฎหมาย คุกคามใครไม่ได้หรอก
การแจ้งความโดยทนายที่เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี (พ่อตั้ง) โดยตำรวจกระวีกระวาด เร่งทำคดี ไม่ทราบจะปฏิเสธได้ไหมว่าไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์
เผลอๆ จะมีการ “จับใหญ่” กวาดจับคนในโลกออนไลน์เป็นร้อยๆ ฐาน bully ลูกสาวนายกฯ
จะทันคิดหรือไม่ก็ตาม ลูกประยุทธ์ก็ตกมาอยู่ในวังวนเดียวกับพ่อแล้ว
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_4849993
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar