นายกรัฐมนตรีเตือนสื่ออย่าเสนอข่าวคดีความก่อนการตัดสินของกระบวนการยุติธรรม เผย คสช.เคยทำความเข้าใจกับสื่อหลายครั้ง ไม่ต้องการให้ถูกฟ้องร้อง แนะนักการเมืองเตรียมปรับตัวรับเลือกตั้งในอนาคต
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติวันนี้ โดยขอร้องให้สื่อมวลชนเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง อย่าให้ร้าย หรือสร้างความขัดแย้ง
“หากว่าเรามัวแต่นำความขัดแย้ง ที่ไม่จำเป็นมาขยายความ เรื่องใดก็ตามที่เป็นเรื่องของการทำความผิดต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่ ของข้าราชการก็อีก...เรื่องหนึ่ง อันนั้นผมไม่ได้ไปห้ามอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าขอให้ระมัดระวังในการเสนอข่าว ถ้ามีความเชื่อมโยงหลาย ๆ อย่างที่จะเกิดความเสียหาย”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติวันนี้ โดยขอร้องให้สื่อมวลชนเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง อย่าให้ร้าย หรือสร้างความขัดแย้ง
“หากว่าเรามัวแต่นำความขัดแย้ง ที่ไม่จำเป็นมาขยายความ เรื่องใดก็ตามที่เป็นเรื่องของการทำความผิดต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่ ของข้าราชการก็อีก...เรื่องหนึ่ง อันนั้นผมไม่ได้ไปห้ามอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าขอให้ระมัดระวังในการเสนอข่าว ถ้ามีความเชื่อมโยงหลาย ๆ อย่างที่จะเกิดความเสียหาย”
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่าขอให้สื่อช่วยกันเสนอข่าวตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม อย่าตัดสินตั้งแต่ยังไม่เข้ากระบวนการ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงว่าสื่ออาจถูกฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทจากผู้เสียหายได้ ในส่วนของรัฐบาลและ คสช.นั้น ได้พูดคุยกับทั้งเจ้าของ บรรณาธิการ และคอลัมนิสต์ หลายครั้ง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
“รัฐบาลเข้าใจดี ก็คำว่าจรรยาบรรณ สิทธิ เสรีภาพคืออะไร แต่ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นจนทำให้เขาเกิดความเสียหาย ทั้งส่วนบุคคล และประเทศชาติด้วย ก็ขอร้องกัน ผมเป็นห่วง เดี๋ยวท่านจะถูกฟ้องร้อง ก็ลำบากกับท่านเอง ครอบครัวลำบากเดือดร้อน ไม่มีใครอยากทำ”
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมว่า รัฐบาลทำตามกฎหมายทุกประการ การเรียกค่าเสียหายต่าง ๆ ทางแพ่งนั้น รัฐบาลก็ไม่ได้มุ่งหวังจะทำลายนักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด
นายกรัฐมนตรียังขอให้นักการเมือง พรรคการเมือง ปรับตัวเอง เตรียมเข้าสู่การเลือกตั้งในอนาคต โดยควรเตรียมในเรื่องของการบริหารประเทศ ให้มีธรรมาภิบาล เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ได้รับประโยชน์
“รัฐบาลเข้าใจดี ก็คำว่าจรรยาบรรณ สิทธิ เสรีภาพคืออะไร แต่ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นจนทำให้เขาเกิดความเสียหาย ทั้งส่วนบุคคล และประเทศชาติด้วย ก็ขอร้องกัน ผมเป็นห่วง เดี๋ยวท่านจะถูกฟ้องร้อง ก็ลำบากกับท่านเอง ครอบครัวลำบากเดือดร้อน ไม่มีใครอยากทำ”
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมว่า รัฐบาลทำตามกฎหมายทุกประการ การเรียกค่าเสียหายต่าง ๆ ทางแพ่งนั้น รัฐบาลก็ไม่ได้มุ่งหวังจะทำลายนักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด
นายกรัฐมนตรียังขอให้นักการเมือง พรรคการเมือง ปรับตัวเอง เตรียมเข้าสู่การเลือกตั้งในอนาคต โดยควรเตรียมในเรื่องของการบริหารประเทศ ให้มีธรรมาภิบาล เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ได้รับประโยชน์
(ภาพจากงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์นานาชาติที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในปีนี้)
องค์กรเพื่อความโปร่งใสสากลเตือนหลายชาติอาเซียนมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการคอร์รัปชันด้านกลาโหม ซึ่งจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของภูมิภาค ไทยอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง “สูงมาก” เช่นเดียวกับ จีน ปากีสถานและศรีลังกา
องค์กรเพื่อความโปร่งใสสากลระบุในแถลงการณ์ที่ออกมาควบคู่กับดัชนีการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในหน่วยงานกลาโหม โดยชี้ว่าประเทศในภูมิภาคเอเชีย 6 จาก 17 ประเทศ ที่ถูกประเมิน ได้รับการจัดอันดับความเสี่ยงที่จะเกิดการคอร์รัปชั่นในกลุ่ม E หรือ F ซึ่งหมายถึงมีความเสี่ยง “สูงมาก” หร...ืออยู่ในขั้น “วิกฤต” โดยการที่กองทัพยิ่งมีขีดความสามารถมากขึ้นเท่าใด ก็จะมีระดับของการปิดบังอำพรางสูง ขณะที่การตรวจสอบ ตรวจตราและความโปร่งใสกลับอยู่ในระดับต่ำ
องค์กรเพื่อความโปร่งใสสากลระบุในแถลงการณ์ที่ออกมาควบคู่กับดัชนีการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในหน่วยงานกลาโหม โดยชี้ว่าประเทศในภูมิภาคเอเชีย 6 จาก 17 ประเทศ ที่ถูกประเมิน ได้รับการจัดอันดับความเสี่ยงที่จะเกิดการคอร์รัปชั่นในกลุ่ม E หรือ F ซึ่งหมายถึงมีความเสี่ยง “สูงมาก” หร...ืออยู่ในขั้น “วิกฤต” โดยการที่กองทัพยิ่งมีขีดความสามารถมากขึ้นเท่าใด ก็จะมีระดับของการปิดบังอำพรางสูง ขณะที่การตรวจสอบ ตรวจตราและความโปร่งใสกลับอยู่ในระดับต่ำ
รายงานระบุด้วยว่าภูมิภาคเอเชียมีระดับการใช้งบประมาณด้านกลาโหมเพิ่มในอัตรารวดเร็วที่สุดในโลก โดยจาก 17 ประเทศที่ศึกษาในรายงานชิ้นนี้ มีงบประมาณรายจ่ายด้านกลาโหมรวมกันราว 432,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2514 หรือราว 24.5% ของงบประมาณรายจ่ายด้านกลาโหมของทั้งโลก แต่การตรวจสอบการใช้งบประมาณยังเกิดขึ้นน้อยมาก
รายงานชี้ว่าในหมู่ประเทศอาเซียนด้วยกัน สิงคโปร์ถือได้ว่าเป็นแกนนำในแง่ของความโปร่งใส ซื่อสัตย์ ตรวจสอบได้ในระดับเดียวกับญี่ปุ่น (กลุ่ม B) ขณะที่มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก็มีรากฐานที่มั่นคง (กลุ่ม D) ส่วนนิวซีแลนด์มีความโปร่งใสเป็นอันดับหนึ่ง ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม A อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในเมียนมาและกัมพูชาถือว่าตรงข้าม สองประเทศนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม F
สำหรับไทย ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม E เช่นเดียวกับจีน ปากีสถาน และศรีลังกา ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดการคอร์รัปชันด้านกลาโหม รายงานชี้ชัดว่านับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารครั้งล่าสุด ไทยขาดหน่วยงานอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบนโยบายด้านนี้ของฝ่ายนิติบัญญัติ ขาดความโปร่งใสในเรื่องงบประมาณ และการตรวจสอบระบบจัดซื้อจัดจ้าง
ในรายงานการศึกษาวิเคราะห์งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2559 ระบุว่ากระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณ 207,718.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.6% ของงบประมาณรวม 2.72 ล้านล้านบาท ขณะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้ปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมลง 1,257 ล้านบาท ในการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยระบุในช่วงที่มีการจัดทำและชี้แจงงบประมาณในช่วงกลางปีนี้ ว่า งบประมาณที่กระทรวงกลาโหมขอในปีนี้อาจจะดูมาก แต่เป็นสิ่งที่ค้างมาจากในอดีต เนื่องจากมีการวางแผนของกองทัพในรอบ 10-20 ปี ซึ่งต้องมียุทโธปกรณ์ตามความจำเป็น ขณะที่ นสพ.เดลินิวส์ รายงานคำให้สัมภาษณ์ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม หลัง สนช.ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณว่า งบส่วนใหญ่ของกองทัพบกเป็นด้านกำลังพล เกือบ 60% มีการปรับเปลี่ยนยุทโธปกรณ์บ้างแต่ไม่มากนัก #Defense #Security
คลิกอ่าน-ดูเพิ่มเติมรายงานชี้ว่าในหมู่ประเทศอาเซียนด้วยกัน สิงคโปร์ถือได้ว่าเป็นแกนนำในแง่ของความโปร่งใส ซื่อสัตย์ ตรวจสอบได้ในระดับเดียวกับญี่ปุ่น (กลุ่ม B) ขณะที่มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก็มีรากฐานที่มั่นคง (กลุ่ม D) ส่วนนิวซีแลนด์มีความโปร่งใสเป็นอันดับหนึ่ง ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม A อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในเมียนมาและกัมพูชาถือว่าตรงข้าม สองประเทศนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม F
สำหรับไทย ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม E เช่นเดียวกับจีน ปากีสถาน และศรีลังกา ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดการคอร์รัปชันด้านกลาโหม รายงานชี้ชัดว่านับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารครั้งล่าสุด ไทยขาดหน่วยงานอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบนโยบายด้านนี้ของฝ่ายนิติบัญญัติ ขาดความโปร่งใสในเรื่องงบประมาณ และการตรวจสอบระบบจัดซื้อจัดจ้าง
ในรายงานการศึกษาวิเคราะห์งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2559 ระบุว่ากระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณ 207,718.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.6% ของงบประมาณรวม 2.72 ล้านล้านบาท ขณะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้ปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมลง 1,257 ล้านบาท ในการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยระบุในช่วงที่มีการจัดทำและชี้แจงงบประมาณในช่วงกลางปีนี้ ว่า งบประมาณที่กระทรวงกลาโหมขอในปีนี้อาจจะดูมาก แต่เป็นสิ่งที่ค้างมาจากในอดีต เนื่องจากมีการวางแผนของกองทัพในรอบ 10-20 ปี ซึ่งต้องมียุทโธปกรณ์ตามความจำเป็น ขณะที่ นสพ.เดลินิวส์ รายงานคำให้สัมภาษณ์ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม หลัง สนช.ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณว่า งบส่วนใหญ่ของกองทัพบกเป็นด้านกำลังพล เกือบ 60% มีการปรับเปลี่ยนยุทโธปกรณ์บ้างแต่ไม่มากนัก #Defense #Security
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar