tisdag 16 februari 2016

Somsak Jeamteerasakul


              

สมศักดิ์ เจียม


"....เพชรฆาตยิงเสร็จ ๑ ชุดแล้ว ตรวจพบว่าบุศย์ยังมีลมหายใจ จึงยิงซ้ำอีก ๒ ชุด โดยยิงรัว ๑ ชุด แล้วตามด้วยการยิงทีละนัดจนหมดอีก ๑ ชุด ผลการยิงถึง ๓๐ นัดนี้ทำให้เมื่อญาติทำศพ พบว่าเหลือเพียงร่างที่แหลกเหลวและมือขาดหายไป....."

ช่วงเวลานี้ในเมืองไทยเมื่อ ๖๑ ปีที่แล้ว คือระหว่างประมาณตี ๒ ถึงตี ๕ เศษ ของก่อนจะเช้าวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และบุศย์ ปัทมศริน สามผู้ถูกกล่าวหาว่
ามีส่วนร่วมในการลองปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ ได้ถูกนำตัวเข้าสู่หลักประหาร - ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบ ๙ ปีหลังการสวรรคตของในหลวงอานันท์ (๙ มิถุนายน ๒๔๘๙) ซึ่งจะครบรอบ ๗๐ ปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ผมได้บรรยายชั่วโมงสุดท้ายในชีวิตของทั้งสามคน ในบทความที่ตีพิมพ์เมื่อ ๑๑ ปีก่อน ดังนี้

"....ประมาณตี ๒ เริ่มขั้นตอนประหารชีวิตจริง ... หัวหน้ากองธุรการเรือนจำอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้นักโทษทั้งสามฟัง และแจ้งว่า “บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามแล้ว โดยพระองค์ได้ทรงขอให้คดีดำเนินไปตามตัวบทกฎหมาย ดังที่ศาลสถิตย์ยุติธรรมชั้นสูงได้ตัดสินไปแล้ว” ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ นักโทษทั้งสามนั่งฟังโดยสงบเป็นปรกติ หลังจากนั้น ภิกษุเนตร (ซึ่งดูเหมือนจะมาถึงตั้งแต่ตี ๒) ได้เทศน์ให้นักโทษทั้งสามฟังใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ตามคำบอกเล่าของพระเนตรภายหลังเหตุการณ์ ระหว่างการเทศน์เฉลียวมีอาการปรกติ ยังสามารถนำอาราธนาศีลได้ ชิตนั่งสงบขณะที่บุศย์กระสับกระส่าย เมื่อเทศน์จบแล้ว ระหว่างที่พระเนตรกำลังจิบน้ำชาและพูดคุยกับนักโทษ บุศย์ซึ่งมีอาการโศกเศร้าที่สุดและหน้าตาหม่นหมองตลอดเวลา บอกกับพระเนตรว่า “เรื่องของผมไม่เป็นความจริง ไม่ควรเลย” และพูดถึงแม่ที่ตายไปแล้วว่าเป็นห่วง ตายนานแล้วยังไม่ได้ทำศพ ส่วนเฉลียวดูเหมือนทำท่าจะสั่งเสียบางอย่างกับพระเนตร (“กระผมจะเรียนอะไรกับพระเดชพระคุณฝากไปสักอย่าง”) แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร พอดีกับ เผ่า ศรียานนท์ พร้อมด้วยบริวารเกือบ ๑๐ คน (เช่น หลวงแผ้วพาลชน ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจ “อัศวิน” อรรณพ พุกประยูร, พันศักดิ์ วิเศษภักดี และพุฒ บูรณะสมภพ) เดินทางมาถึงและเข้ามานั่งในห้องที่เก้าอี้ด้านหลังพระเนตร (เผ่าอยู่ในชุดสูทสากลหูกระต่าย สวมหมวกแบเร่ต์สีแดง) เฉลียวเห็นเข้าก็เอ่ยขึ้นว่า “อ้อ คุณเผ่า” หลังจากนี้พระเนตรก็กลับวัด ไม่ทันเห็นว่าเผ่ากับนักโทษได้พูดอะไรกันหรือไม่

หลังพระเทศน์ นักโทษถูกนำกลับห้อง ทางเรือนจำจัดอาหารมื้อสุดท้ายให้ แต่ไม่มีใครกิน เวลาประมาณ ๔.๒๐ น. เฉลียวถูกนำตัวเข้าสู่หลักประหารเป็นคนแรก โดยอยู่ในท่านั่งงอขา (เข้าใจว่าหลักประหารเป็นรูปกางเขน แกนด้านขวางซึ่งอยู่ใกล้พื้นสำหรับนั่ง) หันหลังให้ที่ตั้งปืนกลของเพชรฆาต ห่างจากปืนกลประมาณ ๕ เมตร นักโทษถูกมัดเข้ากับหลักประหาร มือทั้งสองพนมถือดอกไม้ธูปเทียนไว้เหนือหัวมีผ้าขาวมัดไว้ และมีผ้าขาวผูกปิดตา ด้านหน้านักโทษเป็นกองดิน ด้านหลังเป็นฉากผ้าสีน้ำเงิน บังระหว่างนักโทษกับเพชรฆาต บนฉากผ้ามีวงกลมสีขาวเป็นเป้าสำหรับเพชรฆาต ซึ่งตรงกับบริเวณหัวใจของนักโทษ เมื่อได้เวลา เพชรฆาตประจำเรือนจำ (นายเหรียญ เพิ่มกำลังเมือง) ก็ยิงปืนกลรัวกระสุน ๑ ชุด จำนวน ๑๐ นัด เสร็จแล้วแพทย์เข้าไปตรวจดูนักโทษเพื่อยืนยันว่าเสียชีวิต หลังการประหารเฉลียวประมาณ ๒๐ นาที ชิตก็ถูกนำตัวมาประหารเป็นคนต่อไปในลักษณะเดียวกัน เมื่อถึงคราวบุศย์ (ห่างจากชิตประมาณ ๒๐ นาทีเช่นกัน เขามีโรคประจำตัวเป็นลมบ่อย และเป็นลมอีกก่อนถูกนำเข้าหลักประหารเล็กน้อย ต้องช่วยให้คืนสติก่อน) เพชรฆาตยิงเสร็จ ๑ ชุดแล้ว ตรวจพบว่าบุศย์ยังมีลมหายใจ จึงยิงซ้ำอีก ๒ ชุด โดยยิงรัว ๑ ชุด แล้วตามด้วยการยิงทีละนัดจนหมดอีก ๑ ชุด (ผลการยิงถึง ๓๐ นัดนี้ทำให้เมื่อญาติทำศพ พบว่าเหลือเพียงร่างที่แหลกเหลวและมือขาดหายไป)(๒๖) ก่อนประหาร เผ่าให้หลวงแผ้วพาลชน ดูหน้าชิตกับบุศย์อีกครั้งให้แน่ใจว่าใช่ทั้งคู่จริง เมื่อยิงเสร็จแต่ละคน เผ่ายังเข้าไปดูศพด้วยตัวเองทุกคน หลังการประหาร ศพทั้งสามถูกนำมาวางบนเสื่อที่ปูด้วยผ้าขาว หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งอ้างว่า เผ่ายืนจ้องศพที่วางเรียงกันสักครู่ ทำท่าคล้ายขออโหสิกรรม แล้วพูดว่า “ลาก่อนเพื่อนยาก”....."

 สำหรับท่านที่ไม่เคยอ่านและสนใจ เชิญดาวน์โหลดบทความฉบับเต็มได้ที่นี่ครับ
http://www.mediafire.com/view/9wetfshe8uz9gkb/

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar