ฉีกหน้ากากการเมืองไทยโดยนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดย ปูนนก
เมื่อ ศุกร์, 27/12/2013 - 05:12
เมื่อ ศุกร์, 27/12/2013 - 05:12
“ขณะนี้ตัวดิฉันเองเหมือนนักกีฬาที่ขึ้นชกอยู่บนสังเวียนรอให้กรรมการมาตัดสินโดยใช้กติกาที่ถูกต้อง แต่ถ้ากรรมการเลือกที่จะไม่ตัดสิน ดิฉันคงต้องยอมถูกชกจนตัวตายแล้วให้คนดูเป็นผู้เลือกตัดสินใจ วันนี้จะไม่ขอให้ใครมาช่วยเหลือตัวดิฉันและรัฐบาลแต่จะขอให้มาช่วยเหลือประเทศชาติ ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนเลือกที่จะทำและร่วมกันคิดว่าอยากให้ปประเทศไทยเดินไปอย่างไร ตัวดิฉันไม่ยื้อกับตำแหน่งและอำนาจ แต่ต้องการยื้อกับความยุติธรรมที่ถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกขยี้แล้วขยี้อีก ทำให้คนที่ตั้งใจทำดีถูกทำลาย วันปีใหม่ที่จะถึงนี้ขอให้ครม. และคนไทยทั้งประเทศ มีความสุข และได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ อย่าให้ได้รับความทุกข์อย่างที่ตัวดิฉันและครอบครัวได้รับอีกเลย” : น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกฯ กล่าวกับคณะรัฐมนตรีที่เข้าอวยพรปีใหม่ ณ กองบัญชาการกองทัพอากาศ : 25 ธันวาคม 2556
ไม่น่าเชื่อว่านี่คือถ้อยคำที่ออกมาจากนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ถ้อยคำนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกที่ฉีกหน้ากากการเมืองไทยออกมาอย่างหมดเปลือก ถ้าได้ฟังหรืออ่านอย่างพินิจ พิเคราะห์ และตั้งใจให้ดีก็จะสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกเบื้องลึกที่ซ่อนอยู่ภายในหัวใจดวงเล็กๆ ของหญิงสาวคนนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และถ้าท่านมิได้เป็นผู้ที่มีจิตใจที่มีอคติ มืดบอด ด้วยอวิชชา หรือมีแต่เพียงร่างกายที่เป็นมนุษย์แต่สวมหัวใจของสัตว์ร้ายแล้วล่ะก้อ ด้วยคำพูดเพียงเท่านี้ของท่านนายกยิ่งลักษณ์ ก็ทำให้ท่านสามารถน้อมลงคารวะหัวใจของหญิงแกร่งคนนี้ด้วยความเต็มใจ
“ขณะนี้ตัวดิฉันเองเหมือนนักกีฬาที่ขึ้นชกอยู่บนสังเวียนรอให้กรรมการมาตัดสินโดยใช้กติกาที่ถูกต้อง”..... ท่านนายกยิ่งลักษณ์เปรียบตัวเองเป็นดุจดังนักกีฬาที่ขึ้นชกอยู่บนเวทีแล้ว แต่รอให้กรรมการมาตัดสินโดยใช้กติกาที่ถูกต้อง นี่เป็นถ้อยคำตัดพ้อที่ออกมาจากปากของท่านนายกยิ่งลักษณ์ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่แต่ประโยคนี้เป็นการสื่อไปถึงเหล่าผู้ที่ยึดกุมอำนาจในการตัดสินให้คุณ ให้โทษ กับประเทศนี้โดยตรง “กรรมการตัดสิน” คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหล่าองค์กรอิสระต่างๆ ที่รัฐธรรมนูญปี 50 ได้ตั้งเอาไว้ให้มีอำนาจล้นฟ้า เป็นกับดักที่จะทำลายใครก็ตามที่ไม่ยอมสิโรราบ หรือยอมสยบต่ออำนาจเผด็จการที่ครอบครองประเทศนี้อยู่ซึ่ง กรรมการเหล่านี้แม้จะตัดสินด้วยกติกาที่ตนเองเขียนขึ้นมาเองเพื่อให้ได้เปรียบแล้วก็ตาม ยังตัดสินบิดเบือนกติกาอีกด้วย นี่คือความหมายที่ท่านนายกยิ่งลักษณ์พยายามสื่อไปถึงองค์กรตามรัฐธรรมนูญเหล่านั้น แต่ทว่าคนเหล่านี้จะเข้าใจหรือไม่ก็ยากที่จะคาดเดา
“แต่ถ้ากรรมการเลือกที่จะไม่ตัดสิน ดิฉันคงต้องยอมถูกชกจนตัวตายแล้วให้คนดูเป็นผู้ที่เลือกตัดสินใจ”... ท่านนายกยิ่งลักษณ์เลือกที่จะ “ยอมถูกชกจนตัวตาย” แต่ท่านนายกไม่เลือกที่จะเดินลงจากเวที หรือไม่เลือกที่จะใช้วิธีการนอกกติกาเพื่อเป็นการโต้ตอบและให้การตัดสินทุกอย่างอยู่ที่ผู้ชม (ประชาชน) ท่านนายกยิ่งลักษณ์ กำลังพยายามจะบอกกับประชาชนทั้งประเทศว่า ท่านจะไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจเผด็จการนี้ เมื่อท่านเลือกที่จะขึ้นมาสู่เวทีการเมืองและได้รับมอบหมายหน้าที่จากประชาชนส่วนใหญ่ให้ในการนำพาประเทศนี้แล้ว ท่านจะยืนหยัดจนถึงที่สุดแม้กระทั่งจะมีคนคิดปองร้ายท่านจนถึงแก่ชีวิตก็ตาม แล้วทุกอย่างก็จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศนี้ว่าจะเขียนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตัวของท่านบนถนนการเมืองของประเทศนี้เช่นไร... (ทั้งๆ รู้ว่ามีคนปองร้ายหมายชีวิต แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ก็ไม่ยอมถอย... หัวใจของเธอช่างน่ากราบเสียจริง)
“วันนี้จะไม่ขอให้ใครมาช่วยเหลือตัวดิฉันและรัฐบาลแต่จะขอให้มาช่วยเหลือประเทศชาติวันนี้จะไม่ขอให้ใครมาช่วยเหลือตัวดิฉันและรัฐบาลแต่จะขอให้มาช่วยเหลือประเทศชาติ ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนเลือกที่จะทำและร่วมกันคิดว่าอยากให้ปประเทศไทยเดินไปอย่างไร”... “ตระกูลชินวัตร”
“ตัวดิฉันไม่ยื้อกับตำแหน่งและอำนาจ แต่ต้องการยื้อกับความยุติธรรมที่ถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกขยี้แล้วขยี้อีก ทำให้คนที่ตั้งใจทำดีถูกทำลาย”.... ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่จะต้องอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และต้องถูกถล่มโจมตีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมหาชนอันยิ่งใหญ่ มีฐานะทางสังคมอันสวยงาม มีทรัพย์สมบัติมากมาย โดยส่วนตัวจึงไม่มีความจำเป็นหรือเดือดร้อนใดๆ ที่จะต้องเข้ามาแสวงหาอำนาจทางการเมือง เพราะท่านมีอำนาจอยู่แล้ว แต่ท่านนายกกำลังเป็นตัวแทนที่ต่อสู้กับความอยุติธรรม ต่อสู้กับความชั่วร้ายของอำนาจเผด็จการที่แผ่ปกคลุมประเทศนี้อยู่
ประชาชนไทยได้พ้นจากความเป็นทาสมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2448 และเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 แต่ทว่าฝ่ายเผด็จการพยายามที่จะชักนำให้ประชาชนไทยกลับไปสู่ความเป็นทาสอีก การมีอภิสิทธิ์ชนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำกันในฐานะทางสังคม เหลื่อมล้ำกันในทางโอกาสและชีวิตความเป็นอยู่ ถ้าจะว่าไปแล้ว “ตระกูลชินวัตร” ได้เข้ามาทำการปฏิวัติความคิด ปลุกความรู้สึกและจิตสำนึกให้เข้าใจถึงคุณค่าของความเป็นคนให้กับประชาชนไทยที่อยู่ในสังคมระดับล่างให้ตื่นตัวขึ้นอย่างแท้จริง
นับจากเวลานี้เป็นต้นไป กปปส. จะไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง, กกต. ประกาศออกมาแล้วว่าขอให้มีการชะลอการเลือกตั้งออกไปก่อน, ขณะเดียวกันรัฐบาลก็บอกว่าไม่มีอำนาจตามกฏหมายในการเลื่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความขัดแย้งกันในสาระสำคัญ แต่ถึงอย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่จะเลื่อนวันเลือกตั้งหรือไม่ ประเด็นความขัดแย้งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ กปปส. ต้องการได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยใช้มวลชนมาข่มขู่ ดังนั้นการเลื่อนการเลือกตั้งจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญแต่การได้ถือครองอำนาจรัฐต่างหากที่สำคัญ
ขณะนี้เวลานี้คงไม่มีใครถอยให้ใครอีกแล้ว ฝ่ายเผด็จการพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประเทศเข้าสู่ทางตัน แม้จะมีทางออกตามรัฐธรรมนูญแต่ฝ่ายเผด็จการก็ไม่ยอมรับในทุกๆ ทาง สถานการณ์กำลังนำไปสู่จุดวิกฤติ ฝ่าย กปปส. ใช้สถานการณ์บีบบังคับให้ทหารต้องออกมาทำรัฐประหารเพื่อยุติสถานการณ์ความขัดแย้งและผ่าทางตัน แต่ทหารเองก็รู้ว่าการทำเช่นนั้นตนเองจะกลายเป็นแพะบูชายันต์เพราะจะถูกบอยคอตจากคนทั้งโลก รวมถึงถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากภายในประเทศด้วย ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่าทหารจะทำอย่างไร
ฝ่ายเผด็จการทิ้งไพ่ทุกอย่างในมือออกมาจนหมดสิ้นแล้วเพื่อที่จะทำลายประชาธิปไตย แต่ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ยังมีไพ่ในมืออีกหลายใบที่จะเล่นได้... สำหรับท่านที่วิตกกังวลเรื่องความขัดแย้งว่าจะลุกลามบานปลายออกไปจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง หรือไม่มีการเลือกตั้งถ้า กกต. ลาออกไปจนหมดนั้นความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ถึง กกต. จะลาออกไปจนหมดและดูเหมือนจะเป็นทางตัน แต่ท่านนายกก็ยังคงมีไพ่ตัวสำคัญในมืออีกใบหนึ่งที่นเล่นได้ก็คือ “ประกาศยอมรับอำนาจ ICC และขอให้สหประชาชาติเข้ามาจัดการเลือกตั้งให้เหมือนที่เคยทำในกัมพูชา” นี่คือไพ่ใบสำคัญอีกใบหนึ่งที่ท่านนายกยิ่งลักษณ์สามารถทำได้
“นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านนายกจึงประกาศเสมอไม่ยอมเลื่อนวันเลือกตั้ง”
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar