ประชาธิปไตยจงเจริญ ประชาชนจงเจริญ ประเทศไทยจงเจริญ
โดย ปูนนก
เมื่อ อังคาร, 03/12/2013 - 20:05
ความชอบธรรมเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถหาที่สิ้นสุดได้อย่างแท้จริงว่า ความชอบธรรมจริงๆ แล้วมีบทสรุปลงท้ายที่แท้จริงเป็นเช่นไร ส่วนใหญ่ความชอบธรรมก็มักจะขึ้นอยู่กับมุมมองและมาตรฐานของแต่ละบุคคล หรือแต่ละความเชื่อว่าคืออะไร ในพุทธศาสนาสอนว่า “การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป (ไม่ชอบธรรม)... บางศาสนาบางลัทธิในประเทศอินเดียกลับถือว่าการฆ่าสัตว์เพื่อบูชายันไม่เป็นบาป (เป็นความชอบธรรม)” ดังนั้นความชอบธรรมโดยตัวของมันเองแล้วจึงยากที่จะหาคำจำกัดความที่ชัดเจนได้ ด้วยเหตุนี้การกำหนดมาตรฐานความชอบธรรมใดๆ จึงต้องอิงกับมาตรฐานทางสังคมนั้นๆ ด้วยจึงจะได้รับการยอมรับโดยทั่วไป
เช้าประมาณ 08.00 น. ของวันที่ 3 ธันวาคม นี้ (เขียนบทความช่วงประมาณ 10 โมงเช้า) ได้ดูข่าวทางทีวีเห็น พล.ต.อ. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ออกมาสั่งให้ตำรวจทุกนายที่อยู่ที่ บชน. (และคงจะที่ทำเนียบด้วย) ยุติการใช้แก๊สน้ำตาต่อประชาชนที่จะเข้ามาที่ บชน. โดยบอกว่าให้ตบมือต้อนรับประชาชนทุกคนที่จะเข้ามา จากนั้นข่าวต่อมาในช่วงบ่ายก็ได้เห็นมวลชนจำนวนมากเดินทางมาที่ บชน. และทำเนียบรัฐบาล โดยได้รับการต้อนรับและเชื้อเชิญจากตำรวจที่รักษาการอยู่ให้เข้าไปที่ บชน. และทำเนียบรัฐบาล อย่างเรียบร้อยนอกจากนี้ยังจับมือและมอบดอกไม้ให้กับผู้ชุมนุมเสียด้วย บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและผ่อนคลายอย่างชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
อะไรเกิดขึ้นกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในวันนี้ รัฐบาลยอมแพ้ต่อม๊อบนายสุเทพแล้วหรือ? นายสุเทพ และนายสาธิต ประกาศชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่เวทีชุมนุมที่ราชดำเนินนั่นคือชัยชนะต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วใช่หรือไม่?
พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายครับ... การเมืองในประเทศไทยมีความสลับซับซ้อนและลึกลับเสียจนยากที่ใครคนใดคนหนึ่งจะทำความเข้าใจกับสิ่งทั้งหมดในประเทศนี้ได้ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของการต่อสู้ในเวลานี้เปรียบเสมือนยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นมหาสมุทรขึ้นมาให้เห็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่มีอยู่จริงเท่านั้น การต่อสู้ระหว่างม๊อบนายสุเทพ กับท่านนายกยิ่งลักษณ์เวลานี้ เป็นเสมือนสงครามตัวแทนระหว่างกลุ่มการเมืองผู้ที่ต้องการให้ประเทศไทยมีการปกครองในรูปแบบที่เคยเป็นมาเช่นเดิมคือชนชั้นสูงที่อ้างตัวว่ามีอำนาจปกครอง กับประชาชนชาวรากหญ้าชาวบ้านธรรมดา ชาวไร่ชาวนา และคนชั้นล่าง.... ผนวกกับเป็นช่วงเวลาที่กำลังจะมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจึงทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปอีก
แต่ทว่าไม่ว่าจะสถานการณ์จะซับซ้อนเพียงไร สิ่งที่จะเป็นจุดสิ้นสุดของการต่อสู้นี้ก็คือ “ผู้ใดมีความชอบธรรมในการเป็นผู้ปกครองผู้นั้นได้ชัยชนะ” ดังนั้นการต่อสู้ในครั้งนี้ก็คือการต่อสู้เพื่อชิงความชอบธรรมในสายตาประชาชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่เฝ้าจับตามองดูอยู่นั่นเอง
แม้ขณะนี้ท่านนายกยิ่งลักษณ์ จะยังคงรักษาอำนาจและเป็นรัฐบาลที่มาอย่างถูกต้องคือผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยก็ตาม แต่ทว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ พยายามอย่างยิ่งที่จะทำลายความชอบธรรมในการเป็นรัฐบาลของท่านนายกยิ่งลักษณ์ ลงให้จงได้ด้วยการกล่าวหาในเรื่องทุจริต เรื่องการไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังไม่เป็นประเด็นสำคัญที่จะก่อให้เกิดแรงต่อต้านที่รุนแรงและกว้างขวางต่อประชาชนไทยและนานาชาติ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องการให้เกิดขึ้นก็คือ “การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับผู้ชุมนุมจนกระทั่งมีเหตุทำให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิต” เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นสื่อทุกสื่อ องค์กรทุกองค์กร และสารพัดนักวิชาการ ก็จะรุมกระหน่ำกล่าวหาว่ารัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาลทรราชย์ ปราบปรามประชาชน และนั่นก็คือการทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลอย่างได้ผลและนายสุเทพ ต้องการ
แม้ว่าท่านนายกยิ่งลักษณ์จะพูดเสมอว่า จะไม่ใช้กำลังและความรุนแรงต่อม๊อบและเรียกร้องให้มีการเจรจาพูดคุย แต่นายสุเทพ กลับประกาศไม่ยอมรับการเจรจาและส่งมวลชนออกไปยึดสถานที่ราชการต่างๆ มากมาย สถานที่ที่เป็นหัวใจของการบุกยึดครั้งนี้ก็คือ ทำเนียบรัฐบาล และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) ดังนั้นรัฐบาลจึงวางกำลังปกป้องอย่างเต็มที่ การปะทะกันตลอด 2 วันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม มีการใช้แก๊สน้ำตา ใช้น้ำฉีด ใช้กระสุนยาง เหล่านี้แม้จะเป็นไปตามขั้นตอนมาตรฐานสากลในการควบคุมฝูงชน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งมีการปะทะระหว่างตำรวจกับประชาชนนเนิ่นนานออกไปมากเท่าใดฝ่ายที่สูญเสียความชอบธรรมลงไปก็จะเป็นฝ่ายรัฐบาลมากเท่านั้น
อีกทั้งสิ่งที่นายสุเทพต้องการก็คือต้องการให้มีคนเสียชีวิตในการปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม ดังนั้นภายหลังการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมตลอด 2 วัน วันนี้เป็นวันที่นายสุเทพ ประกาศที่จะยึด บชน. และทำเนียบรัฐบาลให้ได้ซึ่งก็หมายความว่าโอกาสที่จะมีการปะทะระหว่างตำรวจกับมวลชนและมีการสวมรอยทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตก็มีโอกาสเป็นได้สูงยิ่ง และเมื่อเป็นเช่นนั้นรัฐบาลก็จะสูญเสียความชอบธรรมในการบริหารประเทศลงอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าท่านนายกยิ่งลักษณ์จะพูดเสมอว่า จะไม่ใช้กำลังและความรุนแรงต่อม๊อบและเรียกร้องให้มีการเจรจาพูดคุย แต่นายสุเทพ กลับประกาศไม่ยอมรับการเจรจาและส่งมวลชนออกไปยึดสถานที่ราชการต่างๆ มากมาย สถานที่ที่เป็นหัวใจของการบุกยึดครั้งนี้ก็คือ ทำเนียบรัฐบาล และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) ดังนั้นรัฐบาลจึงวางกำลังปกป้องอย่างเต็มที่ การปะทะกันตลอด 2 วันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม มีการใช้แก๊สน้ำตา ใช้น้ำฉีด ใช้กระสุนยาง เหล่านี้แม้จะเป็นไปตามขั้นตอนมาตรฐานสากลในการควบคุมฝูงชน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งมีการปะทะระหว่างตำรวจกับประชาชนนเนิ่นนานออกไปมากเท่าใดฝ่ายที่สูญเสียความชอบธรรมลงไปก็จะเป็นฝ่ายรัฐบาลมากเท่านั้น
อีกทั้งสิ่งที่นายสุเทพต้องการก็คือต้องการให้มีคนเสียชีวิตในการปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม ดังนั้นภายหลังการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมตลอด 2 วัน วันนี้เป็นวันที่นายสุเทพ ประกาศที่จะยึด บชน. และทำเนียบรัฐบาลให้ได้ซึ่งก็หมายความว่าโอกาสที่จะมีการปะทะระหว่างตำรวจกับมวลชนและมีการสวมรอยทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตก็มีโอกาสเป็นได้สูงยิ่ง และเมื่อเป็นเช่นนั้นรัฐบาลก็จะสูญเสียความชอบธรรมในการบริหารประเทศลงอย่างสิ้นเชิง
แต่ทว่าทันทีที่นายกยิ่งลักษณ์ตัดสินใจถอยให้กับมวลชน โดยเปิดประตูให้มวลชนสามารถเข้ามาได้ทั้งทำเนียบรัฐบาล และ บชน. ยังความตื่นตะลึงและประหลาดใจให้กับทั้งมวลชนและตัวนายสุเทพเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับดีเช่นนั้น ภาพที่ออกไปทั่วโลกได้แสดงให้เห็นถีงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ภาพความรุนแรงกลายเป็นความสมานฉันท์และสงบเรียบร้อย จากใบหน้าที่เคร่งเครียดโกรธแค้น กลายเป็นรอยยิ้ม จากแก๊สน้ำตากลายเป็นดอกไม้ที่ยื่นให้แก่กันและกัน นายกยิ่งลักษณ์ ออกมาสำทับเรียกร้องให้ตั้งเวทีเจรจากัน รัฐบาลที่กำลังตกอยู่ในสภาวะกำลังจะสูญเสียความชอบธรรม ได้กลายเป็นฝ่ายพลิกกลับมาครอบครองความชอบธรรมในการต่อสู้นี้อีกครั้ง
สื่อทุกสื่อทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงมวลชนมากมาย องค์กรแทบทุกแห่งต่างร่วมกันขานรับการกระทำในครั้งนี้ “ความชอบธรรมในการครอบครองอำนาจรรัฐกลับมาเป็นของรัฐบาลและฝ่ายประชาธิปไตยอีกครั้ง” ประกอบกับวันที่ 4-5 ธันวาคมนี้ จะมีงานเฉลิมพระเกียรติ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยิ่งจะทำให้ม๊อบนายสุเทพ ลดความเกรี้ยวกราดร้อนแรงลง และการที่จะปลุกระดมมวลชนให้กลับมามีอารมณ์ร่วมเช่นเดิมอีกครั้งเป็นเรื่องยากยิ่ง
และอย่างไรก็ตามแม้ว่าการเจรจาจะออกมาเช่นไร หรือมีเงื่อนไขเช่นไรก็จะหนีไม่พ้นกรอบความคิดที่จะออกมาในรูปของประชาธิปไตยที่เป็นไปตามหลักการสากลที่ปฏิบัติกันอยู่ในโลกนี้ ยากที่จะแหวกหนีไปจากตรงนี้ได้คือ
1. อำนาจอธิปไตยต้องมาจากและเป็นของประชาชน
2. ทุกๆ คนมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน
3. ประชาชนมีเสรีภาพอย่างเต็มที่บริบูรณ์
4. ประเทศจะต้องมีการปกครองโดยใช้หลักกฏหมายในการปกครองประเทศ
5. รัฐบาลจะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
เพราะหลัก 5 ประการนี้คือหลักปฏิบัติของประชาธิปไตยที่ยึดถือกันเป็นสากลทั่วทั้งโลก และในความเป็นจริงที่ใช้วาทะกรรมพูดๆ กันไปว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ นั้น” ไม่มีจริงในโลกนี้
การต่อสู้เพื่อชิงความชอบธรรมในการถือครองอำนาจรัฐในครั้งนี้ ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับชัยชนะอย่างหมดจดและงดงาม นายสุเทพ เทือกสุบรรณไม่สามารถอ้างความชอบธรรมในการปลุกระดมมวลชนให้ต่อต้านหรือขับไล่รัฐบาลด้วยการใช้กำลังบุกยึดสถานที่ราชการได้อีก เพราะไม่ว่าจะบุกยึดสถานที่ใด รัฐบาลก็จะยอมให้มวลชนเข้าไปยึดครองโดยดีแต่ทว่า นายกยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ยุบสภา ไม่ลาออก และอำนาจรัฐก็ยังคงเป็นของรัฐบาลโดยชอบธรรม
แล้วนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ กปปส จะชนะได้อย่างไร? ขอแสดงความยินดีกับท่านนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และประชาธิปไตยด้วยครับ
ประชาธิปไตยจงเจริญ ประชาชนจงเจริญ ประเทศไทยจงเจริญ
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar