tisdag 3 december 2013

..ไอ้คนไร้ค่าไร้ราคาไร้คุณธรรม." สุเทพ เทือกสุบรรณ" . เป็นได้แค่กบฎผู้คิดร้ายทำลายแผ่นดินเกิดและคนทรยศต่อเพื่อนร่วมชาติ..ได้ถูกจับแก้ผ้าประจานให้คนทั้งประเทศและทั่วโลกได้เห็นว่า คนบ้าสติแตกถูกหลอกให้ทำกบฎและเป็นหัวหน้าโจรเถื่อนรับจ้างก่อความไม่สงบเท่านั้นเอง..ดังนั้น.“ผู้ใดมีความชอบธรรมในการเป็นผู้ปกครองผู้นั้นได้ชัยชนะ”

สงครามแย่งชิงความชอบธรรม


ความชอบธรรมเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถหาที่สิ้นสุดได้อย่างแท้จริงว่า  ความชอบธรรมจริงๆ แล้วมีบทสรุปลงท้ายที่แท้จริงเป็นเช่นไร  ส่วนใหญ่ความชอบธรรมก็มักจะขึ้นอยู่กับมุมมองและมาตรฐานของแต่ละบุคคล หรือแต่ละความเชื่อว่าคืออะไร  ในพุทธศาสนาสอนว่า  “การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป (ไม่ชอบธรรม)...  บางศาสนาบางลัทธิในประเทศอินเดียกลับถือว่าการฆ่าสัตว์เพื่อบูชายันไม่เป็นบาป (เป็นความชอบธรรม)”  ดังนั้นความชอบธรรมโดยตัวของมันเองแล้วจึงยากที่จะหาคำจำกัดความที่ชัดเจนได้   ด้วยเหตุนี้การกำหนดมาตรฐานความชอบธรรมใดๆ  จึงต้องอิงกับมาตรฐานทางสังคมนั้นๆ  ด้วยจึงจะได้รับการยอมรับโดยทั่วไป
เช้าประมาณ 08.00 น. ของวันที่ 3 ธันวาคม นี้ (เขียนบทความช่วงประมาณ 10 โมงเช้า)  ได้ดูข่าวทางทีวีเห็น พล.ต.อ. คำรณวิทย์  ธูปกระจ่าง  ออกมาสั่งให้ตำรวจทุกนายที่อยู่ที่ บชน. (และคงจะที่ทำเนียบด้วย)  ยุติการใช้แก๊สน้ำตาต่อประชาชนที่จะเข้ามาที่ บชน. โดยบอกว่าให้ตบมือต้อนรับประชาชนทุกคนที่จะเข้ามา  จากนั้นข่าวต่อมาในช่วงบ่ายก็ได้เห็นมวลชนจำนวนมากเดินทางมาที่ บชน.  และทำเนียบรัฐบาล  โดยได้รับการต้อนรับและเชื้อเชิญจากตำรวจที่รักษาการอยู่ให้เข้าไปที่ บชน. และทำเนียบรัฐบาล  อย่างเรียบร้อยนอกจากนี้ยังจับมือและมอบดอกไม้ให้กับผู้ชุมนุมเสียด้วย  บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและผ่อนคลายอย่างชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
อะไรเกิดขึ้นกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในวันนี้  รัฐบาลยอมแพ้ต่อม๊อบนายสุเทพแล้วหรือ?  นายสุเทพ  และนายสาธิต ประกาศชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่เวทีชุมนุมที่ราชดำเนินนั่นคือชัยชนะต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วใช่หรือไม่?

พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายครับ... การเมืองในประเทศไทยมีความสลับซับซ้อนและลึกลับเสียจนยากที่ใครคนใดคนหนึ่งจะทำความเข้าใจกับสิ่งทั้งหมดในประเทศนี้ได้  ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของการต่อสู้ในเวลานี้เปรียบเสมือนยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นมหาสมุทรขึ้นมาให้เห็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่มีอยู่จริงเท่านั้น  การต่อสู้ระหว่างม๊อบนายสุเทพ  กับท่านนายกยิ่งลักษณ์เวลานี้ เป็นเสมือนสงครามตัวแทนระหว่างกลุ่มการเมืองผู้ที่ต้องการให้ประเทศไทยมีการปกครองในรูปแบบที่เคยเป็นมาเช่นเดิมคือชนชั้นสูงที่อ้างตัวว่ามีอำนาจปกครอง  กับประชาชนชาวรากหญ้าชาวบ้านธรรมดา  ชาวไร่ชาวนา และคนชั้นล่าง....  ผนวกกับเป็นช่วงเวลาที่กำลังจะมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจึงทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปอีก
แต่ทว่าไม่ว่าจะสถานการณ์จะซับซ้อนเพียงไร  สิ่งที่จะเป็นจุดสิ้นสุดของการต่อสู้นี้ก็คือ  “ผู้ใดมีความชอบธรรมในการเป็นผู้ปกครองผู้นั้นได้ชัยชนะ”  ดังนั้นการต่อสู้ในครั้งนี้ก็คือการต่อสู้เพื่อชิงความชอบธรรมในสายตาประชาชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่เฝ้าจับตามองดูอยู่นั่นเอง 
แม้ขณะนี้ท่านนายกยิ่งลักษณ์  จะยังคงรักษาอำนาจและเป็นรัฐบาลที่มาอย่างถูกต้องคือผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยก็ตาม  แต่ทว่านายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  พยายามอย่างยิ่งที่จะทำลายความชอบธรรมในการเป็นรัฐบาลของท่านนายกยิ่งลักษณ์ ลงให้จงได้ด้วยการกล่าวหาในเรื่องทุจริต  เรื่องการไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ  ฯลฯ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังไม่เป็นประเด็นสำคัญที่จะก่อให้เกิดแรงต่อต้านที่รุนแรงและกว้างขวางต่อประชาชนไทยและนานาชาติ  ด้วยเหตุนี้สิ่งที่นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  ต้องการให้เกิดขึ้นก็คือ  “การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับผู้ชุมนุมจนกระทั่งมีเหตุทำให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิต”  เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นสื่อทุกสื่อ  องค์กรทุกองค์กร  และสารพัดนักวิชาการ  ก็จะรุมกระหน่ำกล่าวหาว่ารัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาลทรราชย์  ปราบปรามประชาชน  และนั่นก็คือการทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลอย่างได้ผลและนายสุเทพ  ต้องการ

แม้ว่าท่านนายกยิ่งลักษณ์จะพูดเสมอว่า  จะไม่ใช้กำลังและความรุนแรงต่อม๊อบและเรียกร้องให้มีการเจรจาพูดคุย  แต่นายสุเทพ  กลับประกาศไม่ยอมรับการเจรจาและส่งมวลชนออกไปยึดสถานที่ราชการต่างๆ มากมาย  สถานที่ที่เป็นหัวใจของการบุกยึดครั้งนี้ก็คือ  ทำเนียบรัฐบาล  และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.)  ดังนั้นรัฐบาลจึงวางกำลังปกป้องอย่างเต็มที่  การปะทะกันตลอด 2 วันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม  มีการใช้แก๊สน้ำตา  ใช้น้ำฉีด  ใช้กระสุนยาง  เหล่านี้แม้จะเป็นไปตามขั้นตอนมาตรฐานสากลในการควบคุมฝูงชน   แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งมีการปะทะระหว่างตำรวจกับประชาชนนเนิ่นนานออกไปมากเท่าใดฝ่ายที่สูญเสียความชอบธรรมลงไปก็จะเป็นฝ่ายรัฐบาลมากเท่านั้น  
อีกทั้งสิ่งที่นายสุเทพต้องการก็คือต้องการให้มีคนเสียชีวิตในการปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม  ดังนั้นภายหลังการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมตลอด 2 วัน  วันนี้เป็นวันที่นายสุเทพ  ประกาศที่จะยึด บชน. และทำเนียบรัฐบาลให้ได้ซึ่งก็หมายความว่าโอกาสที่จะมีการปะทะระหว่างตำรวจกับมวลชนและมีการสวมรอยทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตก็มีโอกาสเป็นได้สูงยิ่ง และเมื่อเป็นเช่นนั้นรัฐบาลก็จะสูญเสียความชอบธรรมในการบริหารประเทศลงอย่างสิ้นเชิง

แม้ว่าท่านนายกยิ่งลักษณ์จะพูดเสมอว่า  จะไม่ใช้กำลังและความรุนแรงต่อม๊อบและเรียกร้องให้มีการเจรจาพูดคุย  แต่นายสุเทพ  กลับประกาศไม่ยอมรับการเจรจาและส่งมวลชนออกไปยึดสถานที่ราชการต่างๆ มากมาย  สถานที่ที่เป็นหัวใจของการบุกยึดครั้งนี้ก็คือ  ทำเนียบรัฐบาล  และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.)  ดังนั้นรัฐบาลจึงวางกำลังปกป้องอย่างเต็มที่  การปะทะกันตลอด 2 วันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม  มีการใช้แก๊สน้ำตา  ใช้น้ำฉีด  ใช้กระสุนยาง  เหล่านี้แม้จะเป็นไปตามขั้นตอนมาตรฐานสากลในการควบคุมฝูงชน   แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งมีการปะทะระหว่างตำรวจกับประชาชนนเนิ่นนานออกไปมากเท่าใดฝ่ายที่สูญเสียความชอบธรรมลงไปก็จะเป็นฝ่ายรัฐบาลมากเท่านั้น  

อีกทั้งสิ่งที่นายสุเทพต้องการก็คือต้องการให้มีคนเสียชีวิตในการปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม  ดังนั้นภายหลังการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมตลอด 2 วัน  วันนี้เป็นวันที่นายสุเทพ  ประกาศที่จะยึด บชน. และทำเนียบรัฐบาลให้ได้ซึ่งก็หมายความว่าโอกาสที่จะมีการปะทะระหว่างตำรวจกับมวลชนและมีการสวมรอยทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตก็มีโอกาสเป็นได้สูงยิ่ง และเมื่อเป็นเช่นนั้นรัฐบาลก็จะสูญเสียความชอบธรรมในการบริหารประเทศลงอย่างสิ้นเชิง

แต่ทว่าทันทีที่นายกยิ่งลักษณ์ตัดสินใจถอยให้กับมวลชน  โดยเปิดประตูให้มวลชนสามารถเข้ามาได้ทั้งทำเนียบรัฐบาล และ บชน.  ยังความตื่นตะลึงและประหลาดใจให้กับทั้งมวลชนและตัวนายสุเทพเองเป็นอย่างยิ่ง  เพราะไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับดีเช่นนั้น  ภาพที่ออกไปทั่วโลกได้แสดงให้เห็นถีงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ  ภาพความรุนแรงกลายเป็นความสมานฉันท์และสงบเรียบร้อย  จากใบหน้าที่เคร่งเครียดโกรธแค้น กลายเป็นรอยยิ้ม  จากแก๊สน้ำตากลายเป็นดอกไม้ที่ยื่นให้แก่กันและกัน  นายกยิ่งลักษณ์  ออกมาสำทับเรียกร้องให้ตั้งเวทีเจรจากัน   รัฐบาลที่กำลังตกอยู่ในสภาวะกำลังจะสูญเสียความชอบธรรม  ได้กลายเป็นฝ่ายพลิกกลับมาครอบครองความชอบธรรมในการต่อสู้นี้อีกครั้ง 
สื่อทุกสื่อทั้งในและต่างประเทศ  รวมถึงมวลชนมากมาย  องค์กรแทบทุกแห่งต่างร่วมกันขานรับการกระทำในครั้งนี้   “ความชอบธรรมในการครอบครองอำนาจรรัฐกลับมาเป็นของรัฐบาลและฝ่ายประชาธิปไตยอีกครั้ง”   ประกอบกับวันที่ 4-5 ธันวาคมนี้  จะมีงานเฉลิมพระเกียรติ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ยิ่งจะทำให้ม๊อบนายสุเทพ  ลดความเกรี้ยวกราดร้อนแรงลง  และการที่จะปลุกระดมมวลชนให้กลับมามีอารมณ์ร่วมเช่นเดิมอีกครั้งเป็นเรื่องยากยิ่ง 

และอย่างไรก็ตามแม้ว่าการเจรจาจะออกมาเช่นไร  หรือมีเงื่อนไขเช่นไรก็จะหนีไม่พ้นกรอบความคิดที่จะออกมาในรูปของประชาธิปไตยที่เป็นไปตามหลักการสากลที่ปฏิบัติกันอยู่ในโลกนี้  ยากที่จะแหวกหนีไปจากตรงนี้ได้คือ
1. อำนาจอธิปไตยต้องมาจากและเป็นของประชาชน  
 2. ทุกๆ คนมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน  
 3.  ประชาชนมีเสรีภาพอย่างเต็มที่บริบูรณ์  
 4. ประเทศจะต้องมีการปกครองโดยใช้หลักกฏหมายในการปกครองประเทศ  
5. รัฐบาลจะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน 
เพราะหลัก 5 ประการนี้คือหลักปฏิบัติของประชาธิปไตยที่ยึดถือกันเป็นสากลทั่วทั้งโลก  และในความเป็นจริงที่ใช้วาทะกรรมพูดๆ กันไปว่า  “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ นั้น”  ไม่มีจริงในโลกนี้ 
การต่อสู้เพื่อชิงความชอบธรรมในการถือครองอำนาจรัฐในครั้งนี้  ท่านนายกยิ่งลักษณ์  ชินวัตร ได้รับชัยชนะอย่างหมดจดและงดงาม   นายสุเทพ  เทือกสุบรรณไม่สามารถอ้างความชอบธรรมในการปลุกระดมมวลชนให้ต่อต้านหรือขับไล่รัฐบาลด้วยการใช้กำลังบุกยึดสถานที่ราชการได้อีก  เพราะไม่ว่าจะบุกยึดสถานที่ใด  รัฐบาลก็จะยอมให้มวลชนเข้าไปยึดครองโดยดีแต่ทว่า  นายกยิ่งลักษณ์  ก็ไม่ยุบสภา  ไม่ลาออก  และอำนาจรัฐก็ยังคงเป็นของรัฐบาลโดยชอบธรรม
แล้วนายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  และ กปปส  จะชนะได้อย่างไร?  ขอแสดงความยินดีกับท่านนายกยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  และประชาธิปไตยด้วยครับ
ประชาธิปไตยจงเจริญ  ประชาชนจงเจริญ  ประเทศไทยจงเจริญ

 

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar