söndag 8 december 2013

" ถ้าเรามีองค์กรทางการเมืองของคนระดับล่าง แทนที่จะมีแต่พรรคเพื่อไทยของนายทุนใหญ่ เราจะต่อสู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยได้ "....



เราต้องโทษใครที่ประชาธิปไตยไทยไม่คืบหน้า? กษัตริย์ภูมิพลหรือชนชั้นกลางไทย?

ใจ อึ๊งภากรณ์

พอล แฮนลี่ ในบทความล่าสุด ลงวารสาร Foreign Policy วันที่ ๖ ธันวาคม  (http://www.foreignpolicy.com/articles/2013/12/06/thailand_dysfunctional_democracy_king_bhumibol?page=0%2C0) ตั้งคำถามว่า “ทำไมประชาธิปไตยไทยถึงชำรุดอย่างนี้?  เขาตอบทันทีว่า“ต้องโทษกษัตริย์ภูมิพล” ต่อจากนั้นเขาอธิบายว่า “วิกฤตการเมืองไทยสะท้อนการที่กษัตริย์ภูมพลละเลยที่จะสร้างระบบประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งก่อนที่เขาจะจากโลกไป...” “ในทุกก้าว ในทุกวิกฤต กษัตริย์ภูมิพลพึ่งกองทัพเพื่อปราบนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และยับยั้งการพัฒนาของประชาธิปไตย”

     ผมอ่านแล้วสองจิตสองใจ ในแง่หนึ่งอุ่นใจเมื่อเห็นคนวิจารณ์เผด็จการและนายภูมิพลอย่างตรงไปตรงมา แต่ในอีกด้าน ซึ่งสำคัญกว่า พอล แฮนลี่ วิเคราะห์ผิด เหมือนที่เคยวิเคราะห์ในหนังสือ “กษัตริย์ไม่เคยยิ้ม” เพราะจริงๆ แล้วนายภูมิพลเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ไร้ความกล้าหาญ และไม่มีอุดมการณ์ดีๆ ของตนเองเลย ตลอดชีวิตของเขา เขามีส่วนสำคัญในการร่วมมือกับเผด็จการที่ทำให้สังคมไทยล้าหลังและขาดประชาธิปไตยจนถึงทุกวันนี้ แต่นายภูมิพลถูกทหารและนายทุนใหญ่ใช้มาตลอด เพราะสถาบันกษัตริย์ให้ความชอบธรรมกับทุกอย่างที่ทหารเลือกทำ และให้ความชอบธรรมกับระบบความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วยนิยายเรื่อง “เทวดา”

     เราคงหวังอะไรมากไม่ได้จากทหารและนายทุนใหญ่ สันดานพวกนี้คือการใช้อำนาจเผด็จการ แต่เราสามารถโทษคนกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทในการเปิดประตูให้เผด็จการได้ นั้นคือชนชั้นกลางไทย

     ตั้งแต่พวกชนชั้นกลางไทยไปจับมือกับนายทุนหัวเก่าและทหาร เพราะไม่พอใจที่รัฐบาลไทยรักไทยสร้างระบบรักษาสุขภาพถ้วนหน้า และกองทุนหมู่บ้าน และไม่ยอมให้นักการเมืองเก่าๆ ชนะการเลือกตั้งโดยซื้อเสียงเพราะไม่มีนโยบาย ชนชั้นกลางได้ปูทางไปสู่เผด็จการ

     การกล่าวถึง “เผด็จการรัฐสภา” ในสมัยที่ไทยรักไทยชนะเสียงข้างมาก เป็นการเริ่มต้นในแวดวงนักวิชาการที่เป็นคนชั้นกลาง พวกนี้โกหกว่าการมีเสียงข้างมากในรัฐสภา ซึ่งเป็นเรื่องปกติในประชาธิปไตยตะวันตก เป็นเรื่อง “แย่” มีการโกหกกันจนถึงทุกวันนี้ โดยพวกหัวเผด็จการชนชั้นกลางเหล่านี้ ว่าเขากำลังปกป้อง “เสียงข้างน้อย” ในสังคม แต่เขาไม่เคยปกป้องเสียงเรียกร้องของคนชนเผ่า คนมาเลย์มุสลิม คนงานข้ามชาติ คนรักเพศเดียวกัน คนไม่มีศาสนา คนไม่รักกษัตริย์ หรือคนที่จนที่สุดในสังคมแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นเวลาทหารกับอภิสิทธิ์ชนใช้กษัตริย์เพื่อกระทำความเลว เช่นรัฐประหาร หรือการเข่นฆ่าคนส่วนใหญ่ พวกนี้ไม่เคยสนใจ เพราะเชิดชูเสียงข้างน้อยที่เป็นอภิสิทธิ์ชนเท่านั้น

     พวกชนชั้นกลางเกลียดระบบประชาธิปไตย และให้ความชอบธรรมกับรสนิยมทางการเมืองของเขา ด้วยการดูถูกคนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคของทักษิณว่า “โง่” บ้าง “ขาดการศึกษา” บ้าง หรือ “เข้าไม่ถึงข้อมูล” บ้าง ในขณะเดียวกันชนชั้นกลางคลั่งกษัตริย์จนเชื่อว่าเทวดาบินได้ และแม้กระทั่งหมาเลี้ยงของเขามีความ “ศักดิ์สิทธิ์”

     ในการทำลายระบบรัฐสภาประชาธิปไตยของชนชั้นกลาง เขาเสนอรูปแบบ “เผด็จการทางเลือก”หลายชนิด เช่นข้อเสนอเรื่อง “สภาอภิสิทธิ์ชน” ของสุเทพ หรือการที่ “ต้อง” มีสว. ที่พวกมันแต่งตั้ง เพื่อ “คาน” อำนาจประชาชน หรือการพูดถึง “ประชาธิปไตยทางตรง” ของพวก เอ็นจีโอ ชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นการบิดเบือนความหมายต้นตำหรับของแนวอานาธิปไตยที่เคยเสนอความคิดนี้แต่แรก มันบิดเบือนเพราะ เอ็นจีโอ จำนวนมากไปน้อมรับอำนาจกองทัพและรัฐเผด็จการ

     ในทางเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการชนชั้นกลางที่เริ่มใช้คำว่า “ระบบทักษิณ” ก็มีส่วนสำคัญในการปูทางไปสู่เผด็จการ เพราะในทางนโยบายเศรษฐศาสตร์ รัฐบาลทักษิณใช้นโยบาย “คู่ขนาน” คือผสมแนวเคนส์ที่อาศัยงบประมาณรัฐในการเพิ่มระดับชีวิตประชาชน บวกกับแนวเสรีนิยมกลไกตลาดในระดับโลก มันไม่ใช่นโยบายพิเศษของคนบ้าอำนาจ อย่างที่พวกนั้นเสนอแต่อย่างใด

     ในทางสิทธิเสรีภาพ ชนชั้นกลางไทยเพิกเฉยต่อการทำลายสิทธิมนุษยชน โดยรัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลทหารกับรัฐบาลเผด็จการของอภิสิทธิ์มาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการออกมาประท้วงเป็นแสนในเรื่อง กฏหมาย 112 การเข่นฆ่าชาวมาเลย์มุสลิม การเข่นฆ่าคนจนในสงครามยาเสพติด หรือการเข่นฆ่าคนเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย และคณะกกรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็เป็นเพียงเด็กรับใช้ของเผด็จการ

     ทั้งหมดนี้คือบาปอันใหญ่หลวงของชนชั้นกลางไทยในวิกฤตปัจจุบัน ซึ่งไม่นับเรื่องการเชียร์การเข่นฆ่านักศึกษาและฝ่ายซ้ายในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙

     แต่การวิเคราะห์นี้จะไม่ครบ ถ้าไม่กล่าวถึงความอ่อนแอทางการเมืองของกรรมาชีพและเกษตกร ซึ่งมีมาตั้งแต่การล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ มันถึงเวลานานแล้วที่คนส่วนใหญ่ที่เป็นกรรมาชีพคนทำงานและเกษตรกร จะต้องมีพรรคของชนชั้นตนเอง ในยุโรปประชาธิปไตยไม่เคยเกิดจากคนชั้นกลาง คนชั้นกลางยุโรปสนับสนุนฮิตเลอร์และพวกฟาสซิสต์ต่างหาก ขบวนการที่สร้างพื้นที่ประชาธิปไตยอย่างจริงจังในยุโรปคือขบวนการแรงงานและพรรคการเมืองของเขา และถ้าเรามีองค์กรทางการเมืองของคนระดับล่าง แทนที่จะมีแต่พรรคเพื่อไทยของนายทุนใหญ่ เราจะต่อสู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยได้ แทนที่จะนั่งแบบมือไม้อ่อนแค่ดูพรรคเพื่อไทยประนีประนอมกับมารเผด็จการ รอบนี้หลังจากการตั้งม็อบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสุเทพ และการลาออกจากสภาของประชาธิปัตย์ แนวโน้มเรื่องจะไม่จบลงด้วยการขยายพื้นที่ประชาธิปไตยแต่อย่างใด 

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar